วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ดีท๊อกซ์ ด้วยการสวนทวารเพื่อล้างพิษลำไส้ใหญ่และตับ


การเอาพิษออกด้วยวิธีการสวน เป็นการทำความสะอาดอวัยวะภายใน โดยใช้น้ำต่างๆ ตามเหมาะสม
เช่น น้ำกาแฟ น้ำมะขามเปียก น้ำมะนาว น้ำสมุนไพร เช่น ลูกใต้ใบ (ช่วยเกี่ยวกับตับ)
การสวนช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น บางท่านคิดว่า ตนเองถ่ายทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องสวน
เพราะเข้าใจว่าดีท๊อกซ์ คือการสวนเอาอุจจาระออก แต่ที่จริงแล้ว การทำดีท๊อกซ์นั้
เพื่อระบายพิษออกจากร่างกาย เป็นการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่และตับการสวน
ได้ระบายอุจจาระไปพร้อมกัน อันเป็นผลพลอยได้
อุปกรณ์สำหรับทำดีท๊อกซ์ 
1.หม้อสวน (รวมสาย,หัวสวน)
2. ถุงสวน หรือ
3. ขวดสวน ทำเองได้ ล้างง่าย ผึ่งแห้งง่าย ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด
น้ำสำหรับดีท๊อกซ์
1. น้ำกาแฟ ใช้กาแฟคั่วบริสุทธิ์ (ไม่ปรุงแต่ง) 2 ช้อนโต๊ะ (ถ้าบางท่านเห็นว่ามากไปอาจใช้ 
2 ช้อนชา) ต้มกับน้ำ 1 ลิตรครึ่ง (1,500 ซีซี สำหรับผู้ชายร่างใหญ่) หรือน้ำ 800-1,200 ซีซี 
สำหรับผู้หญิง ต้มจนน้ำเดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำ รอจนน้ำอุ่น ประมาณ 37 องศาเซลเซียสเท่ากับอุณหภูมิร่างกาย จึงใช้สวน อย่าใช้น้ำกาแฟร้อนจัดสวน อาจแช่ภาชนะที่ใสน้ำกาแฟในน้ำเย็น 
เพื่อช่วยคลายความร้อนก็ได้ ถ้าน้ำกาแฟเย็นเกินไปจะมวนท้อง

อีกวิธีหนึ่ง ต้มน้ำเปล่า 800-1,500 ซีซี ให้เดือดใส่กาแฟคั่วป่นบริสุทธิ์ 2 ช้อนโต๊ะ ลงไปต้ม 

3-5 นาที แล้วใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวคาเฟอีนต่อ 15 นาที กรองกากออก ทิ้งไว้ให้อุ่น จึงใช้สวน 
หรืออาจใช้น้ำ 300 ซีซี กาแฟ 2 ช้อนโต๊ะ ต้มให้เดือดลดไฟให้อ่อนลง เคี่ยวต่อจนน้ำ
เหลือประมาณ 200-250 ซีซี จะได้น้ำหัวเชื้อกาแฟ กรองเอากากทิ้ง เก็บหัวเชื้อไว้ในตู้เย็น 
ตอนจะสวน เอาหัวเชื้อผสมกับน้ำอุ่น 600-1,000 ซีซี อาจเก็บหัวเชื้อกาแฟไว้ในกระติกน้ำร้อน 
ใช้สวน(ผสมน้ำกะให้อุ่น) ระหว่างเดินทางไกล ซึ่งมักอึดอัดแน่นท้อง เพราะนั่งนาน ถ่ายลำบาก

2. น้ำส้มมะขาม ส้มมะขาม 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 800-1,500 ซีซี จนเดือด กรองเอาแต่น้ำ 
รอจนน้ำอุ่นจึงสวน 

3. น้ำมะนาว มะนาว 3-5 ลูก คั้นน้ำ กรองกากและเมล็ดออก ผสมน้ำอุ่นตามขนาดที่จะใช้สวน

4. น้ำลูกใต้ใบ ซองสำเร็จรูป ใช้2-3 ซอง ต้มกับน้ำ 800-1,500 ซีซี จนเดือด กรองเอาแต่น้ำ
รอจนอุ่นจึงใช้สวน
ต้นสด ใช้ต้นสูง 1- 1ฟุตครึ่ง 3 ต้น มัดเป็นกำต้มกับน้ำ 800-1,500 ซีซี จนเดือดกรองเอาแต่น้ำ 

รอจนน้ำอุ่นจึงใช้สวน
**ทำไมต้องสวนด้วยน้ำกาแฟและมะนาว***
การสวนท้องให้ปลอดภัย สิ่งที่ใส่เข้าไปนั้นต้องให้มีสภาพเป็นกรด เพราะลำไส้ใหญ่ปกติจะมีสภาพเป็นกรด การสวนด้วยกาแฟมี pH = 5 มะนาวมี pH=2 นั้นถูกต้องแล้ว การสวนด้วยกาแฟจะไปเอาพิษออกจากตับ แต่การสวนด้วยมะนาวไปทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ได้ดีกว่า เนื่องจากมีความเป็นกรดมากกว่า จะช่วยเร่งการบีบตัว เอาของสกปรกในลำไส้ใหญ่ออกได้ดีกว่า จะใส่น้ำมะนาวมากน้อยแล้วแต่สภาพท้องผูกของแต่ละบุคคล หรือผสมเข้าไปทั้งสองอย่างเลย ก็ไม่เสียหายอะไรเพราะเป็นกรดด้วยกันทั้งสองอย่าง และก็แยกหน้าที่กันไปทำงานคนละจุด
การทาหัวสวน
-ถ้าเป็นไปได้ใช้วิตามิน E ชนิดบรรจุแคปซูล ใช้น้ำมันวิตามินอีทาหัวสวนหรือปลายท่อถุงสวน 
เพื่อการหล่อลื่น สวนง่าย
-เค วาย เจลลี่ (K-Y jelly)หรือเจลลี่ที่ทำจากว่านหางจระเข้ (ใช้วุ้นว่างหางจระเข้าทาหัวสวนก็ได้)
-สบู่ วาสลิน ถ้าใช้ประจำไม่แนะนำให้ใช้ ถ้าแก้ขัดบางครั้งพอได้ เพราะถ้าใช้ติดต่อกันนานๆ อาจแพ้ และอักเสบที่รูทวาร
การนอนระหว่างสวน
- การสวนในท่านอนตะแคงขวา การสวนกาแฟ นอนตะแคงขวา (เอาสะโพกขวาลงพื้น) 
บนผ้าหรือเสื่อ เหยียดขาขวาตรง งอเข่าซ้ายขึ้นมาหาหน้าอกในท่าเหมือนกอดหมอนข้าง 
จะหนุนหมอนเพื่อความสบายก็ได้ สอดหัวสวนเข้าที่รูทวารลึก 8-15 ซม. ตอนแรกจะสอดเข้าได้ไม่ลึก 
มีเทคนิคคือ ระหว่างนอนปล่อยน้ำดีท๊อกซ์ ให้ค่อยๆ ขยับสายสวนลึกเข้าไป 

การสวนในท่านอนหงาย ท่านี้เรียกว่า ท่าลิโท เป็นท่าที่ใช้เวลาคลอดลูก นับเป็น
ท่าทะมัดทะแมงที่สุด การสวนกาแฟเจ้าของต้องจัดการกับตัวเอง การเลือกสวน
ท่านี้ให้ความถนัดขณะเดียวกัน กาแฟก็ไม่อออยู่ในอุ้งเชิงกรานนาน สามารถเอ่อท้น
ไปยังลำไส้ท่อนที่ 3 ได้ง่าย จึงปวดถ่วงแต่น้อย เมื่อน้ำกาแฟไหลเข้าหมดแล้ว ปลดสายออก 
แล้วค่อยนอนตะแคงขวา น้ำกาแฟก็ไหลไปยังท่อนที่ 2 และ 1 ได้สะดวก 
ท่านี้จึงนับวันยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกที 

การสวนในท่านอนตะแคงซ้าย เป็นท่าคลาสสิกที่พยาบาลใช้สวนอุจจาระผู้ป่วย เรียกท่านี้ว่า
Left Sim’s Position คือนอนตะแคงซ้าย คุดคู้ งอสะโพก งอเข่า เอาเข่าจรดอก ตัวงอเหมือนกุ้ง 
ท่านี้อำนวยให้พยาบาลซึ่งเข้าหาผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงจากทางด้านขวาของเตียง
แล้วใช้มือขวาจับหัวสวนสอดเข้าทวารผู้ป่วยได้สะดวกที่สุด เมื่อเอาท่านี้มาประยุกต์ใช้สวนกาแฟ
ให้ตนเอง ท่านี้ทำได้ไม่ถนัดนัก แต่ข้อดีก็คือ น้ำกาแฟจะไม่อออยู่ตรงอุ้งเชิงกรานให้เกิดความ
ปวดถ่าย เพราะสามารถไหลไปยังลำไส้ท่อนที่ 3 ทันที
ท่านี้เหมาะสำหรับคนที่กลั้นไม่เก่ง เมื่อน้ำเข้าไปหมดแล้วจึงค่อยหันไปนอนตะแคงขวา
เพื่อให้น้ำกาแฟไหลผ่านไปยังท่อนที่ 2 และ 1 ได้เลย
ขั้นตอนปฏิบัติ 
1.แขวนหม้อสวน ถุงสวน หรือขวดสวน (อย่างใดอย่างหนึ่ง) ที่ตะปู ก้นขวดสูงจากพื้น 2-3 ฟุต 

ไม่เกิน 1เมตร (ถ้าสูงมากความดันจะมากเกินไปน้ำไหลเร็ว กลั้นไม่ค่อยอยู่) ปิดวาล์วที่สายยาง 
ก่อนใส่น้ำดีท๊อกซ์ตามเหมาะสม 800-1,500 ซีซี

2. เปิดวาล์วให้น้ำไล่อากาศในสายยางจนหมด โดยดูที่น้ำจะเต็มสายยางแล้วปิดวาล์ว (ถ้าอากาศ

เข้าไปในท้อง ทำให้อึดอัด กลั้นไม่ได้นาน

3.นอนตะแคงขวา (สะโพกขวามลงพื้น) ขาขวาเหยียดตรง ขาซ้ายงอขึ้นมาหาอกเหมือนกอดหมอนข้าง

4. สอดหัวสวน ทาน้ำมันหล่อลื่น เช่น วิตามินอี ว่างหางจระเข้ หรือวาสลิน แล้วสอดเข้าไปในทวารลึกประมาณ 8-15 ซม.

5.เปิดวาล์วปล่อยดีท๊อกซ์จนหมด หายใจลึกๆผ่อคลาย

6. นอนหงาย ใช้ส้นมือนวดท้องทวนเข็มนาฬิกา อั้นน้ำดีท๊อกซ์ 10-15 นาที จึงไปห้องน้ำ

7. หลังดีท๊อกซ์ ควรดื่มน้ำผลไม้ (ไม่ใส่น้ำตาล) เช่น ฝรั่ง มะละกอ ชมพู่ เสาวรส เชอรี่ ฯลฯ 

ร่างกายจะดูดซึมได้ดี ทำให้กระปรี้กระเปร่า
***บุคคลที่ห้ามดีทอกซ์แบบสวน***
1.เด็กในวัยเจริญเติบโต
2.หญิงมีครรภ์
3. คนแพ้กาแฟ เช่น มีก้อนมะเร็งลำไส้ใหญ่หายสนิท ให้แน่ใจ ก็ประมาณ 1 เดือนครึ่ง
4. คนที่มีลำไส้อุดตัน เช่นมีก้อนมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่รอการผ่าตัด
5. คนที่ผ่าตัดลำไส้มาใหม่ๆ ควรรอให้แผลผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายสนิท ให้แน่ใจก็ประมาณ 1 เดือนครึ่ง
6.คนที่ผ่าตัดลำไส้เปิดออกทางหน้าท้อง
7. คนที่ฉายแสงบริเวณอุ้งเชิงกราน ขณะนั้นลำไส้ใหญ่อาจถูกแสงมีอาการอักเสบ บวม ท้องเสีย
8. คนที่มีบาดแผลทางทวารหนัก
9. ผู้ป่วยโรคหัวใจ
10. ผู้ป่วยโรคความดัน ถ้าควบคุมความดันได้ จะทำก็ได้ โดยลองทีละนิดหรือใช้น้ำมะนาวก่อน 

เพราะมะนาวจะไม่กระตุ้นให้ความดันเพิ่มขึ้น


หมายเหตุ : บางกรณีผู้รู้วิธีทำ สามารถทำได้ เช่น ผู้ที่ผ่าตัดลำไส้เปิดทางหน้าท้อง บางท่านสามารถสวนกาแฟได้ หรือ เด็กถ้าหากมีโรคภัยไข้เจ็บมาก ผู้ใหญ่ที่รู้วิธีก็สามารถสวนกาแฟให้เด็กได้

ที่มา : รู้วิธีดีท๊อกซ์

 "พบกับ Blog รูปโฉมใหม่ของบ้านสุขภาพเขาใหญ่และบ้านสุขภาพปทุมธานี ได้ที่ http://บ้านสุขภาพล้างพิษตับ.blogspot.com/"

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตารางเวลาของนาฬิกาชีวิต


วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ออยล์พูลลิ่ง (Oil Pulling) แปลโดย หมอแดง ดิ อโรคยา


Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่ประเทศ USSR ปี 2534-2535
การประชุมนั้นมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเนื้องอก และแบคทีเรีย
ซึ่ง Dr.Karach ได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรค ที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้ น้ำมันสกัดเย็น หรือ หีบเย็น (สกัดน้ำมันออกมาโดยใช้ความร้อนต่ำ หรือไม่ใช้ความร้อนเลย)
ผลลัพธ์ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัย ในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษาด้วยน้ำมันสกัดเย็น มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำพิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายโรค
ในบางกรณี บางรายที่ไม่ต้องการรักษาโรคด้วยการผ่าตัดหรือการกินยา ก็ได้ใช้วิธีการนี้บำบัด ซึ่งก็เป็นผล อีกทั้งไม่เกิดผลข้างเคียงเหมือนการใช้ยาเคมี


กระบวนการบำบัด และผลที่ได้รับที่น่าตื่นเต้นตามทฤษฎีนี้ กลับแสนง่าย โดยเริ่มต้นที่ใส่น้ำมันสกัดเย็นเข้าไปในปาก (น้ำมันทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันสกัดเย็นอื่น ไม่จำเป็นต้องกลั่นโดยวิธีธรรมชาติเสมอไป น้ำมันทานตะวันที่ซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตก็พอใช้ได้แล้ว)

กระบวนการบำบัดจะบรรลุผลสำเร็จด้วยระบบบำบัดของผู้นั้นเอง ในกรณีนี้อาจจะไปบำบัดเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ ในเวลาเดียวกัน ร่างกายเองก็จะขับสารพิษออกทิ้งไม่ให้รบกวนระบบต่างๆ ของร่างกาย
Dr.Karach กล่าวว่า คนเราส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่แค่ครึ่งหนึ่งของชีวิตที่น่าจะเป็น ความจริงแล้วถ้าสุขภาพที่ดีจะมีอายุได้ถึง 140- 150 ปี

วิธีการทำ “Oil Pulling”
- เช้าตื่นนอนขึ้นมา ช่วงท้องว่าง ก่อนรับบประทานอาหารเช้า เอาน้ำมันประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่เข้าปาก อย่าได้กลืนลงคอไปนะครับ แล้วทำให้น้ำมันเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในปาก (Move Oil Slowly) กลั้วอยู่ในปาก ไม่ต้องทำแรงนัก Dr.Karach ใช้วิธีค่อยๆ จิบน้ำมันเข้าปาก ดูด และดึง น้ำมันให้ผ่านฟันไปมาให้ทั่วๆ ใช้เวลา 15 – 20 นาที
- ในขั้นตอนนี้ น้ำมันจะผสมกลมกลืนกับน้ำลาย แล้วทำให้มันเคลื่อนไหวกระตุ้นเอนไซม์ เพื่อให้เอนไซม์ดึงสารพิษออกมาจากกระแสเลือด จงอย่ากลืนน้ำมันนี้ลงคอไป เพราะมันมีพิษ พิษที่ดึงออกมานั่นแหละ
- เมื่อเราคลื่อนไหวน้ำมันอยู่ในปากสักพัก จะรู้สึกว่าน้ำมันนั้นเบาบางลงไม่หนืด ลักษณะคล้ายน้ำ สีขาว
- แต่ถ้าน้ำมันนั้นยังมีสีเหลือง(น้ำมันงา ทานตะวันจะสีเหลือง น้ำมันมะพร้าวจะใส) อยู่เหมือนเดิม แสดงว่าใส่น้ำมันมากไป หรือยังใช้เวลาไม่นานพอ
- ขั้นต่อไป ให้บ้วนน้ำมันที่อมอยู่ทิ้ง แล้วใช้น้ำสะอาดล้าง หรือจะให้ดี ก็ใช้นิ้วมือช่วยทำความสะอาดฟันและเหงือกด้วยก็ได้

ล้างทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้ดี 
คุณควรล้างทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้ดี (ถ้าบ้วนน้ำมันที่อมลงในอ่าง) ใช้สบู่ น้ำยาฆ่าเชื้อล้างด้วยก็ดี เพราะน้ำมันที่บ้วนทิ้งลงไปนั้นจะมีแบคทีเรีย และสารพิษ Toxin ของเสียที่ดึงออกจากร่างกาย ถ้าลองใช้กล้องขยายขนาด 600 เท่าส่องดูก็จะพบว่ามีแบคทีเรีย และจุลินทรีย์ที่อยู่ในระยะฟักตัวเพื่อก่อโรคอยู่   สิ่งสำคัญต้องทำความเข้าใจว่าการทำ OP เป็นกระบวนการทำให้ระบบเมทาโบริซึมเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรง  สิ่งที่ทำให้เราเห็นชัดเจนก็คือจะทำให้ฟันของเราแน่นขึ้น ไม่โยกคลอน ทำให้เหงือกแข็งแรงสดใส ฟันก็จะขาวขึ้น    การทำ OP จะดีที่สุดก็คือตอนก่อนอาหารเช้า แต่ถ้าจะเร่งกระบวนการบำบัดให้เร็วขึ้น ก็ให้ทำ OP วันละ 3 เวลา ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น ตอนท้องว่าง

ข้อควรระวังคือ
1 อย่ากลืนน้ำมันที่ทำ OP ลงคอไป จะต้องบ้วนน้ำมันที่อมอยู่ออกทิ้งไป แต่ก็อย่าวิตกกังวลถ้าเกิดกลืน หรือ
มีน้ำมันไหลลงคอไปบ้าง ร่างกายก็จะขับออกมาทางอุจจาระเอง
2 ถ้าเกิดอาการแพ้ หรือไม่ถูกโรคกับน้ำมันที่ใช้อยู่ ก็ให้ลองเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ดู
3 น้ำมันทานตะวัน และน้ำมันงา นั้นใช้ได้ผลพอๆ กัน น้ำมันอื่นๆ ยังไม่พบว่าใช้มากนัก และควรใช้น้ำมัน
สกัดเย็น (แต่ก่อนนั้น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นยังไม่มีใช้ในอายุรเวท จะใช้น้ำมันงารักษาโรคเป็นส่วนใหญ่)


ประสบการณ์จากการบำบัดโดย Oil Pulling

จากผลการสำรวจโดยหนังสือพิมพ์ในประเทศอินเดีย ในปี ค.ศ. 1996 ที่ Andhra Jyoti ได้เขียนเรื่องราวข้อมูลจากบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยวิธีการ Oil Pulling ในหนังสือพิมพ์รายวัน Telugu มา 3 ปี ก็ได้จัดการสำรวจดูว่าวิธีการดังกล่าวนี้รักษาโรคอะไรได้บ้าง แล้วผลการรักษาได้ผลดีมากน้อยประการใด จากผลสำรวจที่ได้ตอบรับกลับมา 1,041 ราย จำนวน 927 ราย หรือ (89%) ได้รายงานผลการรักษามารายละโรค บางรายก็หลายโรค ส่วนอีก 114 ราย หรือ (11%) ราย ไม่ได้รายงานผลการรักษาว่าได้ผลแค่ไหน ตามผลการรายงานพอสรุปได้ดังนี้
อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย คอ ศีรษะ 758 ราย
อาการภูมิแพ้ ปัญหาที่ปอด หอบหืด หลอดลมอักเสบ 191 ราย
ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง สีผิวที่ผิดปกติ อาการคัน รอยแผลเป็น ปื้นสีดำๆ ผื่นคัน 171 ราย
ระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี 155 ราย
อาการท้องผูก 110 ราย
โรคข้ออักเสบ ปวดตามข้อ 91 ราย
โรคหัวใจ โรค MS (อารมณ์แปรปรวน) 74 ราย
โรคเบาหวาน 56 ราย
โรคริดสีดวงทวาร 27 ราย
โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธ์ของสุภาพสตรี 21 ราย
อาการที่คล้ายโรคโปริโอ มะเร็ง โรคเรื้อน โรคเกี่ยวกับไต ปัสสาวะบ่อย โรคเกี่ยวกับระบบประสาท และอัมพาต การตายด้าน การหมุนเวียนเลือดไม่ดี 72 ราย
มีผู้ที่ได้เปิดเผยผลของโรคที่บำบัดด้วยวิธีการนี้หลายรายจากหลักฐานที่ได้รับจากหลายๆ ท่านในการรักษาโรค มีทั้งหญิง ชาย อายุที่แตกต่างกัน บางรายถึงกับมอบสมุดที่จดบันทึกผลการรักษามาให้เลยทีเดียว ซึ่งพอจะยกตัวอย่างมาให้ได้อ่านกัน ดังนี้

โรคหอบหืด และภูมิแพ้ ที่เป็นมา 40 ปี
ปัจจุบันฉันมีอายุ 56 ปีแล้ว เคยทนทุกข์ทรมานกับโรคภูมิแพ้ และโรคหอบหืดมาตั้งแต่ฉันอายุ 11ปี เมื่อฉันเริ่มมีรอบเดือนครั้งแรกแล้ว หลังมีรอบเดือนแล้วสระผมเมื่อใด ก็จะทุกข์ทรมานจากอาการหอบหืด เจ็บคอ และถ้าไม่ใช่เวลามีรอบเดือน เมื่อฉันเอาน้ำลาดศรีษะเมื่อได ก็จะต้องเกิดอาการภูมิแพ้ขึ้นมาทุกครั้ง  ฉันพยายาม เสาะหาวิธีการรักษาโรคที่เป็นอยู่ทุกวิถีทาง 45 ปีแล้วที่ฉันรักษามาหลายวิธี แต่ก็ยังไม่พบว่าวิธีใดจะได้รับผลสำเร็จพอที่จะกำจัดโรคภัยไข้เจ็บออกไปจากตัวฉันได้  ฉันมีชีวิตอยู่กับยามาตลอด จนหลังสุด จากผลพวงจากการกินยา หมอบอกว่ามีปัญหากับหัวใจแล้ว  มันทำให้ฉันรู้สึกสิ้นหวังในชีวิตที่ต้องเผชิญปัญหาที่แสนสาหัสอย่างไร้ที่พึ่งพา   แต่ในช่วงนี้เอง วันที่ 3 มีนาคม 1994 ฉันจำได้ดี ได้พบกับคุณ T Koteswara rao ในงานเลี้ยงการแต่งงาน เขาได้บอกเล่า อธิบายถึง Oil pulling ให้ฉันฟัง และขอร้องให้ฉันทำตามที่เขาบอกเป็นเวลา 2 เดือนที่ฉันใช้วิธีการดังกล่าว ปัญหาความเจ็บปวดของฉันกลับเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ฉันก็เข้าใจดีว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดี การเกิดภาวะวิกฤตในการเริ่มการบำบัดนั้น มันเป็นการต่อต้านของโรคภัยไข้เจ็บ ต้องมีการต่อสู้ มั่นใจว่าจะต้องเกิดผลดีขึ้นแน่ ฉันจึงทำต่อไปไม่เปลี่ยนใจ
ปัจจุบัน เป็นเวลา 9 เดือนแล้วที่ฉันปฏิบัติมา สุขภาพของฉันดีขึ้นได้อย่างมหัสจรรย์ โรคหอบหืดหายไป ไม่มีอาการปวดเมื่อยร่างกาย หรือเจ็บปวดตามข้ออีก ไม่มีปื้นหรือจุดสีที่ผิดปกติต่างๆ บนผิวหนัง ๆ กลับสดใสขึ้น ระบบย่อยอาหารดีมาก ฉันสามารถรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอาการแพ้อาหารแต่อย่างไร มีความสุขกับการรับประทานอาหาร ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้โรคหอบหืด หรือโรคภูมิแพ้กำเริบขึ้นมา ฉันอยากจะบอกเล่าให้เพื่อนหญิงทั้งหลายได้รับรู้ ให้เข้าใจ และลองใช้วิธี Oil pulling แล้วทุกท่านจะมีสุขภาพที่ดี คุณสามารถพิสูจน์ดูได้ด้วยตัวคุณเอง
โดย Ms.V.Lakshminarsamamba, Krishna DT, A.P

โรคภูมิแพ้ หอบหืด กับ ประสบการณ์ที่น่าชื่นใจ
วันที่ฉันได้รู้จักวิธีการ OP คือวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1995 มันเป็นเรื่องราวที่ฉันได้รับความเบิกบาน รู้สึกถึงความสดชื่นที่อยู่ในปากในคอ ก็เพราะ OP นี้ทำให้ฉันอดบุหรี่ได้เมื่อ วันที่ 28 มีนาคม 1995 ฉันสามารถทำงานได้โดยไม่ค่อยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย มีสมาธิในการทำงานด้วยความขยันขันแข็ง อดทน จมูกของฉันรู้สึกหายใจโล่ง สะอาด อาหารที่กินเพื่อควบคุมอาการภูมิแพ้ และโรคหอบหืด ที่เริ่มกินมาตั้งแต่เดือนกันยายน 1975 ก็สิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 1995 เลิกใช้เครื่องช่วยหายใจสำหรับโรคหอบหืด อาการชาที่แขน และขาก็หายไปเมื่อ เดือนเมษายน 1995  อาการที่มีความเจ็บปวดขา และเท้าเวลาเดินก็หายไป เมื่อ เดือนเมษายน 1995 เช่นกัน รู้สึกถึงรสชาดของอาหารได้ดีขึ้น และกำลังวังชาก็ดีขึ้นด้วย ฉันรู้สึกถึงความสดชื่นที่มีในปาก สุขภาพดีมาก นอนหลับได้อย่างมีความสุข
โดย Prof V.R.R.M. Babu, (57 years), Geology Dept, Andhra University, Waltair

ภูมิแพ้ หลอดลมอักเสบ และหายใจดังฟู่ๆ
เมื่อสัก 3 เดือนที่ผ่านมา ผมและภรรยาได้ทำ Oil pulling อย่างสม่ำเสมอ เดิมผมมีปัญหากับอาการน้ำมูกไหลบ่อย เมื่อได้เริ่มใช้วิธีการดังกล่าวแล้ว อาการก็ลดน้อยลง มีอาการบ้างบางวัน ไม่ทุกข์ทรมานเหมือนแต่ก่อน ผมเคยมีอาการเจ็ยคอ และมีเสมหะที่เหนียวข้น ยากที่กำจัดมันออกได้ เดี่ยวนี้ไม่มีแล้วจมูกโล่ง ไม่เจ็บคออีก ส่วนภรรยาซึ่งเคยมีอาการภูมิแพ้ หลอดลมอักเสบ มีเสียงหายใจดังฟู่ๆ อาการก็ดีขึ้นหลังจากทำ OP มา
โดย Dr. P.V.R.D.N. Prasad Sarma, (practicing since), 1955 Machillpatnam, AP

โรคมะเร็ง
เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ที่ฉันอยากจะเขียนเล่าเรื่องมะเร็งนี้สัก 3 ราย ใน 2 รายแรก ได้ตรวจสอบเนื้อเยื่อแล้วพบว่าเป็นมะเร็งแบบเนื้อกระด้างที่มดลูก อีกรายเป็นมะเร็งขั้นรุนแรง เป็นก้อนเนื้อโตขนาดลูกเทนนิสที่ขากรรไกร และก็ได้รักษาโดยการแพทย์ โฮมิโอพาที เช่นเดียวกับ 2 รายแรกที่เป็นมะเร็งที่มดลูก และก็ได้ใช้วิธีการ OP มา 2 เดือนแล้วด้วย
ในรายของสุภาพสตรีที่เป็นมะเร็งที่มดลูกเลือดออกน้อยลง สภาพโดยทั่วไปดีขึ้น และเขามีความมั่นใจ เชื่อมั่นว่าเขาจะดีขึ้น เราคงเข้าใจดีว่า ความเชื่อมัน ความไว้วางใจ ความศรัทธานั้น ช่วยในการบำบัดโรคได้ดีกว่ายา    ในกรณีรายที่เป็นมะเร็งที่ปากตรงกรามนั้น หลังจากเดือนหนึ่งที่ใช้ OP มีหนองไหลออกจากก้อนเนื้อ และก็ไหลมาตลอด จน 3 เดือนผ่านไป หนองจึงหยุดไหล แผลปิด และก้อนเนื้อที่เคยใหญ่ขนาดลูกเทนนิสนั้นก็หายไปเกือบจะเป็นปกติแล้ว ในรายนี้ได้ใช้ยาช่วยด้วยตามอาการที่เกิดขึ้น และฉันก็หวังว่าอาการของเขาจะหายดีจากโรคที่เป็นอยู่ โรคอื่นๆ เช่น โรคปวดตามข้อนั้น ปกติถ้าใช้ยาอาการจะดีขึ้นนั้นต้องใช้เวลาประมาณ 8 เดือน แต่วิธี OP กลับช่วยใหโรคหายได้ภายใน 2 เดือน กรณีโรคภูมิแพ้ หอบหืด และโรคเกี่ยวกับฟัน ผลที่ได้รับจากวิธีการนี้ช่างน่าอัศจรรย์ นอกจากยาที่รักษาตามอาการที่เป็นแล้ว ก้ได้ให้ใช้วิธีการ OP ด้วย ฉันหวังว่า OP จะช่วยให้เขาเหล่านั้นหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้
โดย Dr.S.Chandramouli, Homeopath, Gollalamamidalam, E.G. Dt., A. P

อาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร “ใช้วิธี OP ได้ผลดีมาก” 
ฉันใช้วิธีการ OP ตลอดมาปีหนึ่งแล้วโดยทำทุกวัน ๆ ละ 15 ถึง 20 นาที ในตอนเช้า ด้วยน้ำมันงาสีเหลืองนิดๆ ฉันอายุ 82 ปีแล้ว เคยมีปัญหากับอาการท้องผูก และริดสีดวงทวาร หาหมอรักษามาหลายหมอแล้ว กินยาใช้ยามาก็มาก ก็แค่บรรเทาชั่วคราว ฉันได้ฝึกทำ OP เพียง 2 สัปดาห์ อาการที่เป็นกลับรู้สึกบรรเทาลง ไม่ค่อยเจ็บปวดเวลาเคลื่อนไหว การอักเสบของริดสีดวงบรรเทาลงไป อาการถ่าย เอาของเสียออกเป็นไปด้วยดีขึ้น นอนหลับได้อย่างมีความสุขตลอดคืน อาการอาหารไม่ย่อยและไม่อยากอาหารหายไป หลักการแพทย์อายุรเวทได้ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกโรค เป็นสิ่งที่ดีมากที่จะมาเริ่มทำ OP เพื่อสุขภาพที่ดี
โดย Padma Bhusan Sri Narayana Rao, People’Poet, Tirupathi, A.P

โรคเบาหวาน การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร
ฉันอายุ 41 ปีแล้ว เป็นโรคเบาหวาน ไม่มีบุตร หลังจากได้ฝึกปฏิบัติ OP ได้ 3 เดือน ฉันตั้งท้อง ในช่วงตั้งท้องนั้น ปรากฏว่าระดับน้ำตาลสูงขึ้น ฉันจึงได้หยุด OP ไปเดือนหนึ่ง โดยคิดว่าที่ทำให้น้ำตาลสูงขึ้นนี้ เป็นเพราะการทำ OP เพิ่งมาเข้าใจทีหลังว่า นั่นคือสัญญาณแห่งการบำบัดที่ดี ฉันจึงเริ่มปฎิบัติใหม่อีกครั้ง ระดับน้ำตาลของฉันค่อยๆ ลดลง ฉันจึงปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ตั้งครรภ์อยู่ตลอดมา จนกระทั่งคลอดบุตรโดยการผ่าออก หมอได้ตรวจวัดค่าน้ำตาลในเลือดทั้งฉันและลูก ปรากฎว่าเราสองคนแม่ลูกน้ำตาลไม่สูง บาดแผลรอยผ่าแห้ง รอยเย็บหายดี สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 7 วัน ตัวหมอที่รักษาเองยังแปลกใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร นอกจากนั้นผลของการปฏิบัติ OP ยังมีผลดีกับฉันอีกหลายเรื่อง น้ำหนักของฉัน 90 กิโลกรัม สูง 4 ฟุต 11 นิ้ว เท้าของฉันบิดๆ เวลาเดิน เท้าของฉันเคยติดเชื้อ มีหนองไหลออกมาด้วย จากการได้ฝึกปฏิบัติ OP และได้เดินทุกวัน เท้ากลับมาแข็งแรง ก้าวเดินเหิรได้โดยไม่ยากเย็นเหมือนแต่ก่อนน้ำตาลในเลือดของฉันค่อยๆ ลดอย่างค่อยๆเป็นค่อยไปจนอาการเบาหวานหายไป ผิวหนังสะอาดสดใส รอยจุดด่างดำที่เคยปรากฏตามผิวหนังก็หายไป ร่างกายรู้สึกแข็งแรง ฟันแข็งแรง สุขภาพเหงือกดี ผมที่เคยทีมีสีขาวและเทาก็กลับกลายเป็นสีดำ
โดย Mrs. AVL Umamaheswari, Commercial Tax Dept, Eluru, A.P.


โรคเบาหวาน
อายุฉันล่วงเข้ามาถึง 74 ปีแล้ว ไม่มีความคาดหวังว่าวิธีการรักษาโรคแบบใดจะมาสร้างปฏิหารย์มารักษาโรคของฉันให้หายไปได้แน่ ฉันแน่ใจ และก็พูดเช่นนี้เสมอมา แต่เมื่อฉันได้ฝึกปฏิบัติ OP อย่างต่อเนื่องมา มันกลับเกิดปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์ แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น โรคเบาหวานที่สร้งปัญหาให้ฉันมา 13 ปีแล้วนั้น ปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดของฉันกลับมาเป็นปกติ โดยไม่ได้กินยาอื่นเลย ไม่ได้ใช้ยาเคมี นอกจากวิตามินและเอ็นไซม์
โดย (Swami Swarupanand Bharati, (K.R.K.IPS, D.I.G. (Retd)), Hyderabad

โรคหัวใจ
จากรายงานของอดีตนายพลจัตวากองทัพบก ที่เกษียณอายุแล้ว ที่แจ้งว่ามีปัญหากับโรคหัวใจ (Heart Attack) ตั้งแต่ กุมภาพันธ์ ปี 1987 ต้องรักษา กินยามาตลอด 11 ปี และเริ่มมีอาการพาร์กินสันได้ 5 ปี ก็ได้แต่กินยารักษาอีกเช่นกัน
ผมได้ฝึกปฏิบัติ OP อย่างจริงจังต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1998 เป็นเวลา 5 เดือนแล้วที่ได้ปฏิบัติมาตลอดทุกวันตอนเช้า ผลที่ได้ก็คือ
ความดันเลือด ลดลงอย่างชัดเจน ปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ปกติ 130/80
อาการเหนื่อยอ่อน ใจจะขา ไม่ปรากฏขึ้นอีก ออกกำลังได้มากขึ้นไม่ค่อยเหนื่อย
การนอนหลับ นอนหลับได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องลุกขึ้นเข้าห้องน้ำบ่อยๆ
การนอนกรน หายไปมากเลย นี่จากผลการลงมติของสมาชิกในครอบครัว
เสมหะ ซึ่งเรื่องนี้เคยสร้างปัญหาให้กับผมมากก่อนนี้ เดี๋ยวนี้หายไปแล้ว
เหงือก ดูสภาพดีมาก มีสีแดง ไม่มีเลือดออกอีกนานแล้ว
ฟัน สะอาด และดูสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี
อาการคัน หายไปแล้ว
เลือดที่จับตัวเป็นก้อนตรงตาตุ่ม หายไป 90-95% ผิวหนังที่เคยดำตรงบริเวณดังกล่าวก็ดีขึ้นแสดงว่าการไหลเวียนเลือดดีขึ้น
เส้นเลือด ที่เคยโป่งพองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณหลังมือ ตอนนี้หลังมือเรียบ นุ่มเนียน
ภาวะอารมณ์ จิตใจ มีความอดทน อดกลั้นได้ดี 90%
อาการสั่นที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ดีขึ้น 40%
มือและเท้าที่ใช้งานได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะมือและเท้าข้างขวา ตอนนี้ก็ดีขึ้น เขียนหนังสือได้ดีขึ้น 60-70%
อาการบวมที่เท้า และข้อเท้า บวมน้อยลง 50-60%
สายตา ซึ่งเคยใช้แว่นมากว่า 25 ปี ก็สร้างความประหลาดใจที่สามารถเล่นไพ่บริดจ์ได้โดยปราศจากแว่นตา
อาการหน้ามืดวิงเวียน เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่มีอาการปกติ ถ้ามีอาการความดันเลือดสูงขึ้นมาบ้างก็จะควบคุมโดยการออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร
ความจำ พิสูจน์ได้ว่าดีขึ้นมาก
อาการทั่วๆ ไป การหายใจทำได้ดี การหมุนเวียนเลือดดี ปฏิกิริยาตอบสนองเป็นไปด้วยดี ออกกำลังกายได้นานขึ้น ทนความหนาวเย็นๆ ได้ดี เดินได้โดยไม่ค่อยเหนื่อย   ยาที่เคยกิน ค่อยๆ ลดยาเคมีลง ยานอนหลับไม่ต้องใช้อีกต่อไป ยารักษาพากินสันไม่ปรารถนาต้องใช้มันอีกแล้ว  ระบบย่อยอาหารดีเยี่ยม เขียนหนังสือได้เร็วขึ้น สามารถโพกผ้าบนศรีษะด้วยมือขวาได้ดีขึ้น ผิวหนังก็ดูสดใสขึ้น

โดย Brig (Retd) T.S.Chordary, (63 year), Janakapuri, New Delhi

จากรายงานของศัลยแพทย์ที่เกษียณอายุแล้ว อาการขัดข้องที่หัวใจข้างซ้าย
ผมเคยมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจด้านซ้าย หลังจากที่ได้เริ่มฝึกทำ OP ได้เพียง 15 วัน กลับพบว่าอาการมันดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีหลักฐานจากการตรวจคลื่นเสียงดูภายในหัวใจและการทำงานของหัวใจแล้ว และที่เคยทุกข์ทรมานจากแผลในลำไส้เล็กตอนต้น รักษามาตลอด 30 ปี ก็เป็นที่น่าพิศวง มันหายไปได้โดยไม่ต้องกินยาลดกรดอีกแล้ว
ผมมีอาการเริ่มๆ มีต่อมลูกหมากโตชนิดที่ยังไม่อันตราย หลังจากที่ได้ทำ OP แล้ว อาการที่ต้องลุกขึ้นปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ ก็น้อยลง อาการมีแผลร้อนในในปาก ลิ้นอักเสบ อาการคันที่ผิวหนังตรงบริเวณหน้าอก และคอ สีผิวที่ไม่ค่อยดี ก็หายไปหมด หลังจากอมน้ำมัน (OP) พบว่าฝ่ามือสดใสมีสีเลือด ผมจึงไปให้เขาตรวจเลือดดู ก็ต้องแปลกใจที่พบว่า ฮีโมโกลบินมีค่าสูงขึ้นจาก 11 gms to 12.4 gms ภายใน 2 เดือน
โดย Dr. N.Ranga Rao, Dy. Civil Surgeon (Retd.), Peddapuram, A.P


ลมหายใจไม่สะอาด กลิ่นปาก
ฉันมีปัญหากับอาการที่มีกลิ่นปาก และมีหนองไหลออกมาจากในปาก เป็นมา 8 ปีแล้ว
เมื่อมีกลิ่นปาก ก็ได้ไปหาหมอฟันได้ยามากิน ยาทำความสะอาดฟัน เมื่อกินยาและเครื่องไม้เครื่องมือมาทำความสะอาดฟันมันก็เพียงทำให้กลิ่นปากหายไปชั่วครั้งชั่วคราว
หลังจากที่ได้ทำ OP (อมน้ำมัน) ได้ 5 เดือน กลิ่นปากที่ไม่สะอาดก็หายไป
หนองก็ไม่ค่อยมีไหลแล้ว รู้สึกมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ไม่มีปัญหาเหมือนแต่ก่อน
วิธีการ OP ได้ดึงความเชื่อมั่นของฉันที่สูญเสียไปกลับคืนมา จากความกรุณาปราณีอันนี้ ทำให้ฉันได้สูดหายใจได้อย่างมีความสุข ดังกับว่าได้ให้ชีวิตใหม่แก่ฉันเลยทีเดียว
โดย G.B.Rao, Rajamundry, A.P

ฉันเป็นคนหนึ่งที่ทรมานกับการร้อนใน และมีแผลในปากมา 12-15 ปีแล้ว
หลังจากได้อ่านบทความที่พิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Kannada Prabha เรื่อง “Oil pulling” ฉันได้เริ่มฝึกปฎิบัติวันละ 2 ครั้ง เช้า และเย็น ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 1995 ควบคู่ไปกับการกินยา ช่วง 2-3 เดือนแรกอาการดีขึ้นสัก 25% เห็นจะได้ แต่พอได้สัก 4-5 เดือนอาการดีขึ้นมากเลย และที่เห็นได้ดีที่สุดเมื่อได้ 6 เดือน ดีขึ้น 100% เลย ฉันก็ได้ชลอการใช้ยาลง และพอได้ 7 เดือน ฉันก็เลิกกินยาเคมี อาการที่เคยเป็นแผลในปากหายไปตั้งแต่ 2-3 เดือนแรกแล้ว เดี๋ยวนี้ฉันมีควมสุข โรคหายไปแล้ว 100% โรคแผลในปากที่เคยอยู่กับฉันมาแสนนานได้หายไปแล้วด้วย “Oil pulling” 
โดย Salamander Shiny, Manipal
โรคกล้ามเนื้อที่ใบหน้าอ่อนกำลัง (Myasthenia Gravis (MG))
ในปี 1980 ฉันอายุ 36 ปี เกิดอาการเห็นภาพซ้อน และหนังตาข้างขวาตก หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรค MG
ในปี 1993 ฉันได้เริ่มฝึก OP และได้ใช้ยาร่วมกันไปด้วยในเดือนแรกๆ หลังจากนั้นก็หยุดยาได้แต่ทำ OP ต่อไป ไม่ช้าอาการกล้ามเนื้อที่หน้าอ่อนแรงก็หายดี เมื่อฉันได้หยุดปฏิบัติ OP ได้เดือนหนึ่ง อาการดังกล่าวก็กลับมาอีก ฉันจึงได้ทำ OP ต่อไปอีก และทำ OP อย่างเดียวโดยไม่กินยาอีกเลย
โดย T.Brahmaji Rao, Pedavadlapudu, Guntur Dt. A.P
อาการปวดหลัง ปวดคอ
ฉันมีอาการปวดหลังมานานเกือบ 10 ปีแล้ว ก็ได้หาหมอรักษามาหลายหมอ ซึ่งแต่ละท่านก็ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการรักษา แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่มีวันไหนที่ฉันจะเข้านอนได้โดยไม่ต้องกินยา บรูเฟน โวทาเรน หรือยาอื่นๆ
หลังจากที่ได้อ่านบทความเกี่ยวกับการทำ OP ที่เขียนโดย Tummala Koteswara Rao   ฉันได้เริ่มฝึกปฏิบัติ OP โดยใช้น้ำมันทานตะวัน อาการก็ค่อยๆ เห็นผลภายใน 15 วัน และอาการดังกล่าวดีขึ้นมากใน 3 เดือน ตอนนี้ 6 เดือนแล้ว อาการปวดหายไปราว 90% ซึ่งยังเหลืออาการปวดหลังอยู่บ้าง  อาการที่เคยปวดที่คอและที่ปวดแขนในบางครั้งก็หายไป  อาการปวดหลังที่บอกว่ายังเหลืออีกนิดหน่อยนั้น ฉันก็ไม่ยอมกินยาแก้ปวดอีกแล้ว แต่ไม่ยอมหยุด OP เพราะพบว่ามันเป็นผลดีต่อฉันมาก และปลอดภัยกว่าการกินยา  ฉันได้เริ่มออกบรรยาย “สุขภาพดีได้ด้วย OP” ตามโรงเรียน สมาคม ที่ Telugu ให้พวกเขารู้จักวิธีการทำ OP
โดย Dr.V.Prabhakar (48 years) MDS (Madras), Guntakal A.P
อาการปวดหลัง และปวดตามข้อ
ฉันมีอาการเจ็บปวดข้อเข่ามาช้านานกว่า 10 ปีแล้ว และมีอาการปวดหลังช่วงล่างมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว ฉันได้พยายามรักษาโดยใช้ยามาหลายชนิด มันก็หายชั่วครู่ชั่วยาม ฉันเริ่มฝึกทำ OP เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1995 เพียง 5 วันที่ฉันได้ปฏิบัติมา สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น อาการปวดข้อเข่า และโรคปวดหลังช่วงล่างของฉันหายไป มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อว่า อาการปวดข้อเข่าของฉันมันหายไปได้อย่างไร ก็ยาที่กินมาตั้งมากมาย และนานแสนนานยังรักษาไม่ได้ ผลที่ได้กลับแย่ลงอีกต่างหาก
โดย Sudedar Juvva Gandhi, Sub-area HQ, Karnataka, Bangalore


อาการปวดเข่า และข้อเท้า
ฉันได้อ่านบทความและรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการรักษาโรคด้วยวิธีการทำ OP จาก “Andhra Jyoti” จนเกิดความมั่นใจและเชื่อถือแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ลองฝึกทำเสียที จนกระทั่งน้องชายของฉันหายจากโรคหอบหืด และได้แนะนำให้ฉันได้ฝึกปฏิบัติดูบ้าง ปกติฉันเองจะเปิดพัดลม หรือนอนในที่มีลมแรงๆ ไม่ได้ ทำให้หายใจไม่ออก จมูกจะตัน อาบน้ำเย็นยิ่งไม่ได้เลย หลังจากได้ฝึกปฏิบัติ OP แล้ว ฉันสามารถนอนหลับสบายใต้พัดลมที่เปิดเต็มสปีด ไม่รู้สึกอึดอัด ในบางครั้งที่เคยมีอาการหอบหืด หรืออาการที่หลอดอาหารบ้างก็หายไป อาการที่เคยปวดเข่าซ้าย และปวดข้อเท้าขวามา 3-4 ก็ไม่มีอาการอีก อาการที่มีรอยแตกที่กระโหลกศรีษะตั้งแต่ฉันอายุ 5 ขวบก็ไม่มีแล้ว
ริดสีดวงทวารที่เป็นมา 20 ปี ปรากฏว่ามันหายไป มันช่างน่าเป็นเรื่องปาฎิหารย์จริงๆ
โดย Prof.T.Venugopal Rao, Principal, Vishaka of Professional Studies, J.R. Nagar, Vishakapatnam, A.P


โรคผิวหนัง ผื่นคันอักเสบพุพอง ก็บำบัดได้ 
ฉันอายุ 79 ปี เกษียณจากครูแล้ว มีความปรารถนาที่จะมีสุขภาพดี จึงได้ฝึกปฏิบัติ OP มาตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 1995 อาการที่มีคือ ผื่นคัน พุพอง(Eczema) มากว่า 30 ปีที่เท้าซ้าย ที่ได้ใช้วิธีการรักษามาหลายวีธี และก็เช่นเดียวกันกับที่นิ้วชี้มือขวาก็มีอาการมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว และมีอาการปวดหลังช่วงล่างมาเป็นปี หมอบอกว่ากระดูกสันหลังอักเสบ (Spondylitis) ฉันได้ฝึกปฏิบัติ OP ได้ 1 ปี กับอีก 8 เดือน อาการปวดหลังช่วงล่างก็หายไป อาการที่เป็นผื่นคันพุพอง (Eczema) ที่นิ้วชี้มือขวาก็หายไป อาการที่ผิวหนังหายเป็นปกติ อาการผื่นคันพุพองที่เท้าซ้ายเกือบจะปกติแล้ว มีอาการคันบ้างในบางครั้ง ฉันรู้สึกมีความมั่นใจมากและจะปฏิบัติต่อไป มันเป็นวิธีการบำบัดที่แสนง่าย แต่เห็นผลน่าแปลกใจ และฉันก็มั่นใจว่าอาการผื่นคันพุพองที่เท้าซ้ายจะหายไปในไม่ช้าแน่นอน
โดย C.V.Purnachandra Rao, Chennal, T.N


อาการปวดฟัน ฟันโยกคลอน
ฉันเป็นข้าราชการที่เกษียณแล้ว ตอนนี้อายุ 86 ปี มีอาการปวดฟันหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นอาการปวดรวดร้าวแสนทรมาน
ก็ได้ฝึกทำ OP บ้าง แต่ยังมีความสงสัย เคลือบแคลงใจ ไม่แน่ใจ จึงได้ไปหาหมอฟันด้วย เมื่อมันปวดหนักขึ้น ฉันก็ลองทำเป็น 2 ครั้งต่อวัน ปรากฏว่าความปวดน้อยลง อีก 2 วันก็หายปวด อาการปวดนี้เกิดกับฟันซี่หน้า ที่ใช้สำหรับกัด ตรงฐานรากของฟันดูจะโยกคลอน ไม่แน่น เมื่ออาการปวดฟันหายไป ฉันจึงมีความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพ และอาการโยกคลอนก็หายไปภายใน 2 สัปดาห์เท่านั้น มีความรู้สึกว่าตอนนี้ฟันดีมาก ฉันสามารถกัดผลไม้และอาหารที่ไม่แข็งมากนักได้ นี่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับฉัน และฉันต้องขอขอบคุณ แนวทางการรักษาโรคด้วยวิธี Oil Pulling จริงๆ
โดย G.R.Bhagavannarayana,(Retd,Govt service), 86 years, Rajamundry,533 105 AP.


คำถามที่ถูกถามบ่อย เกี่ยวกับ Oil pulling
ควรจะทำ OP เวลาไหนถึงจะดี?
แพทย์ทางอายุรเวท แนะนำว่าควรจะทำในช่วงเช้า หลังจากแปรงฟัน และท้องว่างอยู่ Dr Karach แนะนำให้ทำช่วงเช้า ตอนท้องว่าง จะให้ดีควรเป็นหลัง 1 ชั่วโมง หลังจากดื่มน้ำเปล่า ชา กาแฟ หรือน้ำใดๆ ในช่วงเช้า แต่ขอให้ทำก่อนอาหารมื้อเช้า หรือ ตอนท้องว่าง ขณะที่รู้สึกไม่ค่อยสบาย สุขภาพร่างกายมีปัญหา ก็ทำได้

ใครบ้างที่ทำได้ ?
ใครๆ ก็ทำได้ อายุ 5 ขวบขึ้นไปก็ฝึกทำได้ สำหรับอายุ 5 ขวบหรือเกินกว่าไม่มาก ให้ใช้น้ำมันเพียง 1 ช้อนชา (5 cc.) ก็พอ ผู้ที่ถอนฟันแล้ว สตรีที่ตั้งครรภ์อยู่ ก็ทำได้แล้วจะดื่มน้ำหรือทานอาหารได้หลังจาก OP นานเท่าไร? 
หลังจากทำ OP แล้วล้างปาก แล้วก็สามารถดื่มน้ำหรือทานอาหารได้เลย ไม่ต้องทิ้งช่วงเวลา

น้ำมันอะไรบ้างที่นำมาใช้ OP ได้?
Dr Karach แนะนำให้ใช้น้ำมันทานตะวัน ส่วนการแพทย์อายุรเวทแต่โบราณ ใช้น้ำมันงาเป็นหลัก ซึ่งน้ำมันทั้งสองชนิดก็ทำงานได้ดีในการช่วยบำบัดสุขภาพ บางท่านว่าน้ำมันงาใช้ได้ดีที่สุด ส่วนน้ำมันอื่นๆ ก็ใช้ได้แล้วแต่ความชอบ ของแต่ละคน เพียงแต่ยังไม่มีรายงานผลการใช้น้ำมันชนิดอื่นๆ มาให้ทราบมากนัก น้ำมันอื่นๆ อาจจะใช้ได้ดีในการนำมาใช้ก็ได้ แต่ยังไม่ได้รับความนิยมที่จะใช้กัน
(หมอแดง แนะนำให้ใช้ น้ำมันมะพร้าว ในการทำ Oil Pulling ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่มีน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นใช้กันมากนัก และก็กลัวไขมันอิ่มตัวน้ำมันมะพร้าวกันมาก แต่ปัจจุบันนี้ความเชื่อนั้นเปลี่ยนไป)

น้ำมันที่ใช้เพียง 10 cc. มันดูน้อยจัง ใช้ 20 cc. จะได้ไหม?
เมื่อเราทำ OP น้ำมันที่อมในปากนั้นจะต้องรู้สึกบางเบา จางลง มีความรู้สึกคล้ายน้ำ ไม่ใช่ยังรู้สึกว่ายังอมน้ำมันอยู่ ควรจะรู้สึกคล้ายน้ำ เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้จึงจะเป็นผลดี และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ความมุ่งหมายในการทำ โดยทั่วไปความรู้สึกอย่างนี้จะเกิดขึ้นหลังจากอมไว้ 15-20 นาที แต่ถ้าใช้น้ำมันมากเกินไปมาอม ก็จะต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าที่น้ำมันจะกลายเป็นน้ำสีขาวๆ เราก็คงไม่มีเวลาที่จะมาอมน้ำมันอยู่นานๆ กันแน่ ถ้าหากบ้วนทิ้งออกมาแล้วยังรู้สึกว่ายังคงเป็นน้ำมันอยู่ ก็เป็นเรื่องเสียเปล่า ไม่ค่อยได้ประโยชน์นัก จะไม่ค่อยรู้สึกสดชื่น ไม่ได้ผลสำเร็จตามที่ปรารถนา ถ้าจะใช้มากสักนิดหน่อยก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ ไม่เสียหายมากมาย เพียงแต่ใช้เวลานานเสียหน่อย และสำหรับเด็กเราก็ใช้แค่ 5 cc.ก็พอ

ขณะที่ทำ OP อยู่นั้น จะทำอย่างอื่นพร้อมไปด้วยได้หรือไม่?
ไม่ควร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ควรทำ OP อย่างช้าๆ นั่งในท่าสบายๆ เชยคางขึ้น นึกถึงน้ำมันที่แทรกเข้าไปตามซอกฟัน เข้าไปสัมผัสกับทุกๆ ส่วนของเยื่อบุผนังในช่องปาก ผ่อนคลายอารมณ์และร่างกาย

สำหรับโรคที่เจ็บปวดรุนแรงจนจะต้องผ่าตัด หรือโรคเรื้อรัง จะมีการทำ OP อย่างไร?
โรคที่มีอาการปวดอย่างมากจนถึงขนาดจะต้องผ่าตัดนั้น วิธีการนี้จะช่วยบำบัดได้ภายใน 4 วัน โดยปฏิบัติวันละ 3 ครั้ง
ตอนช่วงท้องว่าง ก่อนอาหารเช้า กลางวัน และเย็น   ส่วนในโรคที่มีอาการเรื้อรังมานานนั้น อาจต้องใช้เวลาเป็นปี หรือมากกว่า แล้วแต่อาการและความหนักหนาของโรคที่เป็นอยู่นั้น เป็นมานานมากแค่ไหนแล้ว อายุของผู้ป่วย อุปนิสัย พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยก็เป็นปัจจัยสำคัญ


จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้างในการทำ OP?
น้ำมันที่อมยังคงสภาพเป็นน้ำมันอยู่ ไม่มีลักษณะคล้ายน้ำ หรือรู้สึกบางเบา หลังจาก 30 นาที แล้วกับรู้สึก
ถูกดูดซึม และเหลือปริมาณน้อยลง   เหตุที่น้ำมันไม่แปรสภาพไปคล้ายน้ำ ก็เพราะว่ามีน้ำลายน้อย หรือการผลิตน้ำลายออกมาน้อย ในช่องปากแห้ง เป็นมากในกรณีนี้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในตอนเช้า หรือไม่ก็ตอนเย็น  ในสภาวะปกติทั่วไป น้ำมันจะไม่ถูกดูดซึมในปาก สาเหตุนั้นมาจากน้ำลายมีน้อย หรือร่างกายขาดน้ำ ขาดสารเหลว ในกรณีนี้ให้ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว แล้วออกเดินสัก 30 – 45 นาที แล้วกลับมาทำ OP   รู้สึกในจมูกถูกปิดกั้น เกิดการสะสมของน้ำมูก ทำให้หายใจไม่ค่อยดีขณะมีน้ำมันอยู่ในปาก  กรณีนี้ให้ล้าง ทำความจมูกให้ดี สั่งน้ำมูกออกให้รู้สึกโล่งจมูกก่อน แล้วจึงทำ OP  ขณะที่อมน้ำมันอยู่ในปาก เมื่อมีน้ำมูกให้ใช้วิธีหายใจแรงหลายๆครั้ง เพื่อให้มีแรงลมดันออกมาทางจมูก
อยากจะจาม หรือไอขณะที่อมน้ำมันอยู่ รู้สึกระคายคอ คันคอทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญ อยากจะจามหรือไอขณะที่กำลังอมน้ำมันอยู่ในปาก ให้ค่อยๆ ทำ และให้ผ่อนคลาย ไม่ต้องคิดถึงน้ำมันที่อยู่ในปาก ถ้าจะจามหรือไอ ให้ทำตรงอ่างหรืออะไรรองรับ เพื่อไม่ให้มีการพ่นเป็นสเปร์ยออกมา หรือไม่ก็หากระดาษทิชชูมาปิดปากป้องกันไว้
เสมหะ เสลดในลำคอไหลเข้ามาที่ในปาก ขณะที่อมน้ำมันอยู่  ถ้ามีเสมหะเกิดขึ้นมาเต็มปากเต็มคอ ทำให้ทำ OP ไม่สะดวก ก็ให้บ้วนทั้งน้ำมันและเสมหะออกทิ้งไป และอมน้ำมันใหม่อีกครั้ง  กระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ ขณะทำ OP  เมื่อมีกระตุ้นให้เกิดปัสสาวะและถ่ายอุจจาระขณะที่ทำ OP ก็ให้ไปปัสสาวะ อุจจาระได้ระหว่างทำ OP อมน้ำมันไปด้วยให้สบายใจ ไม่ต้องเครียด


จะใช้เวลาสักเท่าไรในการที่จะรักษาโรค? 
ระยะเวลาที่จะใช้ในการดูแลรักษาโรคแต่ละโรคนั้น เป็นการยากที่จะกะเกณฑ์ ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย สภาพร่างกายของผู้ป่วยว่าทรุดโทรมขนาดไหน และโรคที่เป็นอยู่หนักหนาขนาดไหน อาหาร อัปนิสัยและพฤติกรรมของตัวผู้ป่วยแต่ละคน  Dr Karach กล่าวว่า “โรคที่เจ็บป่วยเรื้อรังมานานอาจใช้เวลาปีหนึ่ง ขณะที่โรคที่มีอาการปวดจนถึงขนาดจะต้องผ่าตัด อาจใช้เวลาแค่ 2 – 4 วัน ให้ฝึกทำจนกว่าจะรู้สึกแข็งแรงดังเดิม มีความสดชื่น หลับได้ดี รู้สึกเจริญอาหาร ความจำที่ดีกลับคืนมาเหมือนเดิมอีกครั้ง”

แล้วการทำ OP ช่วยบำบัดรักษาโรคได้อย่างไร?
การรักษาโดยวิธี OP เกิดขึ้นเหมือนกับการรักษาโรคโดยทั่วไป เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ (ซึ่งเป็นบทหนึ่งที่ผมได้เขียนไว้ว่า “OP ช่วยบำบัดรักษาโรคได้อย่างไร” อยู่ในหนังสือชื่อ “Oil Pulling”) ซึ่งผมจะอธิบายตามหลักทฤษฎีว่าทำไม OP ถึงช่วยบำบัดรักษาโรคได้  Dr (med.) Karach ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ กล่าวว่า “ตามหลักการน้ำมันได้ช่วยรักษาฟันได้ดีอยู่แล้วตามที่ทราบกันดี จะเห็นผลได้ชัดเจนว่าน้ำมันทำให้ฟันมั่นคง แข็งแรง ช่วยรักษาฟันที่โยกคลอน รักษาอาการเลือดออกที่เหงือก และทำให้ฟันขาว”  Oil Pulling ในด้านการแพทย์อายุรเวท เรียกว่า “KAVALA GRAHAM” ในหัวข้อของ Charaka Samhita sutra ได้เขียนไว้ว่า   “การอมน้ำมัน หรือ OP ด้วยน้ำมันงาจช่วยรักษาฟันที่เป็นรู เป็นแมงกินฟัน ช่วยรักษารากฟันให้แข็งแรง รักษาโรคฟัน อาการเสียวฟันที่เวลากินของเปรี้ยว จะช่วยรักษาฟันที่ผุ ทำให้ฟันแข็งแรงสามารถที่จะขบเคี้ยวของแข็งๆ ได้ดีขึ้น”


สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้และต่างก็มีประสบการณ์กันในการรักษาโรคฟันมาแล้วมากมาย มีหลักฐานเป็นที่เชื่อถือได้ในการใช้วิธี OP บำบัดรักษาโรคฟัน ป้องกันผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับฟัน หรือที่เกี่ยวกับฟัน และเห็นผลอย่างเด่นชัด ซึ่งหมอฟันไม่สามารถทำได้ จากประสบการณ์ต่างๆ มากมาย เราจะเห็นว่า OP ช่วยรักษาอาการปวดฟัน ขจัดการติดเชื้อ หยุดความเสียหายความเสื่อมสภาพที่จะเกิดหรือเกิดขึ้นแล้วกับฟัน บรรเทาหรือกำจัดอาการเสียวฟัน ทำให้ฟันมั่นคงและไม่โยกคลอน

ตามที่กล่าวมาข้างต้น เราสามารถนำมาเชื่อมโยงเหตุผลเข้ามาเป็นเหตุผลว่าทำไม OP ช่วยรักษาอาการปวดให้หายไปได้ ต่อต้าน และกำจัดอาการติดเชื้อ ช่วยเยียวยารักษาสภาพของฟันที่กำลังเสียหายช่วยอาการเสียว ปวดฟัน ช่วยป้องกันและรักษาสุขภาพในช่องปาก ช่วยเหนี่ยวนำระบบประสาทให้ทำงานได้ดีขึ้น ให้ต่อมไร้ท่อ ต่อมคัดหลั่งทำงานได้ดี ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และปรับสมดุลร่างกาย
ในทำนองเดียวกัน OP ก็จะช่วยบำบัดอาการปวดศรีษะ ไมเกรน การจาม อาการเย็น อาการปวดในเวลาไม่กี่วัน และจะทำวันละครั้งหรือหลายครั้งก็ได้ อาการเมาค้าง สามารถบำบัดได้โดยเพียงทำ OP 2- 3 ครั้งในช่วงเช้า สิ่งที่ปฏิบัติเหล่านี้จะเป็นการศึกษา และเป็นประสบการณ์ ถ้าฝึกทำบ่อยๆ ก็จะเกิดความชำนาญในการปฏิบัติ และก็สามารถประเมินผลที่ได้จากประสบการณ์ที่เราได้ทำ ได้เจอด้วยตัวของตัวเอง วิธีการบำบัดโดย OP ก็จะคล้ายๆ กันในแต่ละโรค จะมีแตกต่างกันบ้างก็ในเรื่องของระยะเวลาที่ใช้ในการบำบัดในแต่ละคน

จะมีผลข้างเคียง หรือจะเป็นอะไรบ้างไหมถ้าจะใช้ยาไปพร้อมๆ กันไปด้วย ?
โดยปกติทั่วไปจะไม่มีผลข้างเคียง การบำบัดรักษาจะเป็นไปอย่างนิ่มนวล อ่อนโยน ในบางกรณีบางโรค อาจจะมีอาการมากขึ้นมาบ้างนิดหน่อย ก็อย่าไปวิตกกังวล เพราะอาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสัญญาณที่ดี  บอกให้เราได้รู้ว่าโรคที่เป็นอยู่นั้นกำลังได้รับการบำบัดอยู่ ให้อดทนหน่อย แต่ถ้าในกรณีที่มีอาการมากขึ้นจนทนไม่ได้ ก็ให้หยุดทำ OP ไปสัก 2-3 วัน หรือจะกินยาเพื่อช่วยระงับอาการและทำ OP ไปด้วยก็ได้  ในกรณีที่ต้องกินยา หรือยังไม่อยากจะหยุดยาทีเดียวเลย ก็ให้กินยาไปด้วยพร้อมๆ กัน แล้วค่อยๆ ลดจำนวนยาลงทีละน้อย แบบค่อยเป็นค่อยไป จนมีความแน่ใจว่าได้ผลดีแล้ว จึงหยุดยาทั้งหมด แล้วทำ OP อย่างเต็มที่เพื่อเป็นการถอนรากถอนโคนของโรคออกไปให้หมด ในกรณีที่เป็นโรคเรื้อรัง เป็นมานาน ต้องกินยาอยู่ ไม่อยากหยุดยา ก็ให้ทำ OP พร้อมๆ กันไป ก็ไม่เกิดผลเสีย

Dr Karach กล่าวว่า บางท่านอาจจะมีโรคที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันหลายโรคที่แสดงความเลวร้ายออกมาอย่างชัดเจน
โรคแรกอาจเป็นโรคที่ติดเชื้อ ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่สิ้นหวังที่จะบำบัด และโรคอันดับรองลงมาก็จะเป็นผลจากโรคแรกที่ว่าแต่ก็เป็นๆ หายๆ ไม่กี่วันโรคอันอับรองๆ นั้นก็หายไปบ้าง ในขณะที่ก็มีบางโรคที่ถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้น มันเป็นอาการที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในกรณีของผู้ที่ทุกข์ทรมานกับเรื้อรังที่เป็นมาช้านาน ในสภาวะเช่นนี้ Dr Karach แนะนำว่า ถ้าเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมาจงมุ่งมั่น อย่าท้อถอย ให้ปฏิบัติ OP ต่อไปอย่างต่อเนื่อง อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น และโรคทั้งหลายก็จะค่อยๆ เบาบางลง หรือหายไปทีละโรค ขอให้คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นหลังจากทำ OP แล้วโรคหลายโรคปะทุขึ้นมา มันเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบ เป็นสัญญาณเตือนที่ดีว่าโรคนั้นจะค่อยๆ หายไปในที่สุด

ตัวอย่างของปฏิกิริยาโต้ตอบที่เกิดขึ้น
-- จะเกิดอาการคันที่ผิวหนัง บริเวณที่ อักเสบจากอาการบาดเจ็บ หรือ เป็นแผลอยู่
- ในกรณีกระดูกหักจากอุบัติเหตุ อาการเจ็บปวดอาจจะมากขึ้นบ้าง ในช่วงที่อยู่ในกระบวนการบำบัด ให้เข้าใจว่าอยู่ในช่วยเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ ให้ทำ OP ต่อไปตามปกติ หรือเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 ครั้ง/วัน หรือถ้ามีอาการหนักเกินไป ก็ให้หยุดทำ OP ก่อนสัก 2-3 วันและค่อยกลับมาทำใหม่ใช้ยาตามที่หมอสั่งได้ แต่ให้น้อยลง เพื่อลดอาการเจ็บปวด และให้ทำ OP ต่อไปในขณะที่เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ มันไม่ใช่ว่าจะเกิดปฏิกิริยานี้ในทุกโรคทุกกรณีในการบำบัด ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง และผู้ป่วยที่ต้องทุกข์ทรมานมานาน
ปฏิกริยาตอบโต้อาจจะปรากฏจนทำให้โรคนั้นเลวร้ายขึ้นบ้าง ในช่วงนี้หลายท่านมีความคิดว่าจะหยุดทำ OP
ขอให้อย่าได้หยุดเด็ดขาด ให้ทำ OP ต่อไป นี่คือสัญญาณเตือนที่ดี ว่าโรคกำลังได้รับการบำบัดแล้ว
ให้เข้าใจไว้ว่านี่คือปฏิกิริยาโต้ตอบ อย่าได้หยุดเลย เพราะเรากำลังได้รับการบำบัด ใช้เวลาอีกไม่นาน โรคภัยที่เป็นอยู่ก็จะหายไป สุขภาพที่ดีก็จะหวนกลับคืนมา แล้วเราก็จะได้มีความสุขกับสุขภาพที่ยอดเยี่ยมเสียที

บทความแปลจาก Oilpulling.com    โดย หมอแดง the-arokaya.com

 "พบกับ Blog รูปโฉมใหม่ของบ้านสุขภาพเขาใหญ่และบ้านสุขภาพปทุมธานี 
ได้ที่ http://บ้านสุขภาพล้างพิษตับ.blogspot.com/"

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ดีเกลือ


ดีเกลือ (แมกนีเซียมซัลเฟต) Epsom salt (Magnesium sulfate) 


ดีเกลือเป็นเกลือชนิดหนึ่ง เม็ดละเอียดสีขาว รสเค็มจัดจนขม หรือเรียกว่า แมกนีเซียมซัลเฟต  ดีเกลือมีองค์ประกอบ 2 อย่าง คือ แมกนีเซียม และซัลเฟต ซึ่งมีประโยชน์ในการล้างพิษตับและถุงน้ำดี รวมทั้งประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

  1. ดีเกลือทำให้ท่อน้ำดีขยายตัว เพื่อให้นิ่วเคลื่อนที่ผ่านออกมาได้ง่ายขึ้น   
  2. นอกจากนี้ดีเกลือยังช่วยขับพิษที่เป็นตัวขัดขวางการเดินทางของนิ่ว
  3. ในทางสมุนไพรใช้ดีเกลือเป็นยาระบาย ขับสารพิษออกจากร่างกาย
  4. แมกนีเซียมในดีเกลือ ช่วยคลายเครียดและให้หลับง่าย  สมาธิดีขึ้น  พัฒนากล้ามเนื้อและระบบประสาท ป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ลดการเกร็งและการอักเสบของกล้ามเนื้อ   
  5. ซัลเฟต ช่วยการขับสารพิษออกจากร่างกาย   การดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้นบรรเทาอาการปวดศีรษะและป้องกันโรคไมเกรน
  6. ในการผลิตอาหารใช้ดีเกลือเป็นสารจับตัว (coagulant) สำหรับการผลิตเต้าหู้   เต้าฮวย  ดีเกลือจะไปจับตัวกับโปรตีนในน้ำนมถั่วเหลือง ทำให้จับตัวเป็นก้อน



ดีเกลือ Epsom Salts(MgSO4.7H2O)

ดีเกลือ คือสารประกอบเกลือซัลเฟตของโซเดียมและแมกนีเซียม แบ่งออกเป็นสองชนิดคือ ดีเกลือไทยและดีเกลือฝรั่ง ซึ่งทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติและลักษณะแต่งต่างกัน ได้แก่


1. ดีเกลือไทย มีสูตรทางเคมีว่า Na2SO4 ดีเกลือชนิดที่เป็นเกลือซัลเฟตของโซเดียม หรือเรียกง่ายๆว่า "โซเดียมซัลเฟต" มีลักษณะเป็นผงสีขาว ไม่มีกลิ่น มีรสเค็ม มีคุณสมบัติเป็นถ่ายพิษเสมหะและโลหิต ถ่ายอุจจาระ ถ่ายพรรดึก ทำให้เส้นเอ็นหย่อน 
2. ดีเกลือฝรั่ง มีสูตรทางเคมีว่า MgSO4.7H2O ดีเกลือชนิดที่เป็นเกลือซัลเฟตของแมกนีเซียม หรือเรียกว่า "แมกนีเซียมซัลเฟต" เรียกเป็นภาษาสามัญแบบฝรั่งว่า Epsom salts มีลักษณะเป็นผลึกสีขาวหรือใส คล้ายผงชูรส ไม่มีกลิ่น ละลายน้ำได้ รสเค็ม มีคุณสมบัติเป็นยาระบายถ่ายอุจจาระ ถ่ายพิษเสมหะและโลหิต นิยมนำเอามาใช้ในการรักษาปลา และยังมีการนำไปใช้ในการเกษตรเรื่องเอาไปช่วยรักษาดินที่ขาดแมกนีเซียม นอกจากนี้สาวๆ ยังนิยมนำไปเป็นส่วนผสมในการรักษาสิวแบบประหยัดอีกด้วย


คุณประโยชน์ดีเกลือฝรั่ง
  1. ใช้เพื่อกินเป็นยาระบาย โดยผสมน้ำ 3 ถ้วยต่อดีเกลือ 4 ช้อนโต๊ะ
  2. ใช้ในบ่อกุ้ง เพื่อเพิ่มปริมาณแมกนีเซียม ช่วยกุ้งสร้างเปลือกใหม่ ในช่วงลอกคราบ
  3. ใช้ประกอบอาหาร อาทิ เต้าหู้ ดีเกลือจะช่วยแยกชั้นเนื้อและชั้นน้ำของถั่วเหลืองปั่น
  4. ใช้ในการขับไล่สารพิษในไต ใช้เพื่อปรับสภาพดินให้เหมาะสมกับการปลูกพืชประเภทผล เช่น มะเขือเทศ มันฝรั่ง

คุณสมบัติทางเคมี 
ดีเกลือฝรั่งใช้ชื่อทางเคมีว่า แมกนีเซียมซัลเฟต Magnesium Sulfate MgSO4 ชื่อสามัญเรียกว่า Epsom Salt หรือ Bitter Salt เหตุเพราะมีรสขมฝาด ไม่ได้เค็มเหมือนเกลืออย่างที่เข้าใจ ลักษณะที่ใช้กันจะเป็นผงผลึกหรือเกล็ดขาว ซึ่งได้มาจากการนำน้ำทะเลมาเคี่ยวจนแห้ง เหลือเป็นเกลือสะตุ แต่ยังมีคุณสมบัติในการดูดซับความชื้นจากอากาศอยู่ ดังนั้น เมื่อวางดีเกลือทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง จะทำให้จับตัวแข็งเป็นก้อน.

 "พบกับ Blog รูปโฉมใหม่ของบ้านสุขภาพเขาใหญ่และบ้านสุขภาพปทุมธานี 
ได้ที่ http://บ้านสุขภาพล้างพิษตับ.blogspot.com/"